1.ซื้อกาแฟคั่วใหม่ ต้องเลือกดูวันที่ผลิต (หรือ วันที่คั่ว) และ วันหมดอายุ
หากคุณต้องเลือกเมล็ดกาแฟเข้าบ้านละก็คุณควรเลือกเมล็ดกาแฟคั่วที่มีอายุไม่เกิน 2 เดือน คุณสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ จากการดูวันที่ผลิตที่หน้า
ซองของผลิตภัณฑ์ ซึ่งกาแฟคั่วนั้นจะมีเสน่ห์ตรงที่มีกลิ่นหอมที่เข้มข้นมาก ๆ โดยความดีงามเหล่านี้จะค่อย ๆ สลายหายไปตามเวลา พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยค่ะว่ากาแฟยิ่งคั่วนานมากเท่าไหร่ ก็จะมีกลิ่นหอมและรสชาติก็จะค่อย ๆ จางหายไป ในเรื่องของการระบุวันที่ผลิตนั้นจะเป็นข้อมูลที่สำคัญอย่างมาก นอกจากจะเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมแล้ว ยังช่วยให้ฝ่ายผลิตสามารถทำการตรวจสอบย้อนหลังได้อีกด้วย ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญของระบบประกันคุณภาพของโรงคั่วกาแฟ ถ้าหากถุงกาแฟไม่ระบุวันที่ผลิต มีแต่วันที่หมดอายุ คุณก็สามารถคาดเดาวันผลิตได้ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วกาแฟคั่ว หรือ กาแฟบดจะมีอายุการเก็บรักษาไว้ได้ประมาณ 6 เดือน หรือ 1 ปี เพราะฉะนั้น เมื่อหักลบวันหมดอายุด้วยระยะเวลาการเก็บรักษาแล้ว คุณก็สามารถเดาวันที่ผลิตได้ด้วยค่ะ
2.การดมกลิ่น
เชื่อว่าคอกาแฟทั้งหลายชอบกดถุงกาแฟและดมกลิ่นในการเลือกซื้อ เราอยากจะบอกคุณว่าการดมกลิ่นจากถุงกาแฟนั้นยังเป็นเทคนิคอีกหนึ่งเทคนิคที่สำคัญเช่นกัน เพื่อช่วยให้คุณได้รู้ว่าถุงกาแฟถุงนี้ยังสดใหม่ตามอายุการคั่ว หรือ ไม่ เพราะกาแฟที่คั่วใหม่ ๆ ก็อาจจะเร่งให้เสื่อมคุณภาพได้ในขณะที่ขนส่งหรือ on shelf กาแฟที่คั่วสด ๆ ใหม่ ๆ จะมีคุณภาพและดี พร้อมทั้งมีกลิ่นหอมละมุนอบอวลเต็มถุง ซึ่งคุณสามารถกดดมได้จาก One way valve บนถุงได้ในทันที แต่หากได้กลิ่นอับ กลิ่นรา หรือ กลิ่นเหม็นเปรี้ยว คุณควรหลีกเลี่ยงทันทีเพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
ซึ่งกลิ่นเหล่านี้มักจะเกิดจากการคั่วกาแฟดิบที่เสื่อมคุณภาพ เพราะโดยทั่วไปแล้วหลาย ๆ คนมักจะค้นพบกลิ่นเหล่านี้ได้ยากเลยทีเดียว เพราะมันจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้กลิ่นที่ฉันไหม้นั่นเองค่ะ หากกาแฟคั่วที่มีอายุเกินมากกว่า 2 เดือนแล้ว หรือ กาแฟที่เก็บรักษาอุณหภูมิไว้ไม่ดี จะหมดกลิ่นหอมของกาแฟคั่วใหม่ และทำให้เกิดกลิ่นหืนขึ้นแทนทันที อาการจะ (คล้ายน้ำมันพืชเก่าที่เปิดฝาวางทิ้งไว้) ตัวกาแฟที่หืน นอกจากจะสูญเสียความอร่อยไปแล้ว จะมีรสชาติจืด บาง และยังสร้างอนุมูลอิสระได้อีกด้วย
3.อ่านฉลาก ก่อนซื้อ
สิ่งที่จะทำให้ทุกคนทำการตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เมื่อคุณเจอกาแฟที่สดใหม่ และเจอกาแฟที่หอมถูกใจ สิ่งที่ควรทำเลยนั่นก็คือ การอ่านฉลาก เพราะโดยทั่วไปแล้วกาแฟคั่วจะมีการระบุรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวกาแฟตรงฉลากเอาไว้ อาทิเช่น ระดับคั่ว กลิ่น รสชาติ และ แหล่งที่ปลูก เป็นต้น เท่านั้นยังไม่พอนะคะ ในบางครั้งกลิ่นกาแฟที่คุณชื่นชอบ อาจจะมีรสชาติที่ไม่พึงพอใจ หรือ มีกลิ่นและรสชาติของกาแฟที่สวนทางกัน จึงจำเป็นที่จะต้องดูคำพรรณนารสชาติตรงหน้าซองร่วมด้วย เพื่อให้ได้กาแฟที่มีกลิ่นหอม และรสชาติที่ถูกใจกลับบ้านไปนั่นเอง
สำหรับใครที่พึ่งเป็นผู้ริเริ่มการชงกาแฟด้วยตนเอง อาจจะมีคำถามภายในใจต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น
“ระดับของการคั่วเมล็ดกาแฟนั้น มีรสชาตที่แตกต่างกันอย่างไร”
รสชาติของกาแฟ จะขึ้นอยู่กับการคั่วดังนี้
- Light Roast : กาแฟคั่วอ่อน รสชาติเบา แต่มีความหอมที่สดชื่น พร้อมกับรสชาจิเปรี้ยวเป็นจุดเด่น กาแฟคั่วอ่อนนั้นมักจะให้กลิ่นที่มีความพิเศษและมีความซับซ้อน อาทิเช่น กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ ที่อยู่ในผลไม้ตระกูล มะนาว เบอรี่ แอปเปิ้ล และ ส้ม เป็นต้น ตามคาแรคเตอร์ของสายพันธุ์ แหล่งที่ปลูก และ กระบวนการ Process ซึ่ง Roast Master มักจะนำเมล็ดคุณภาพที่สูงที่ผ่านกระบวนการพิเศษ หรือ Process ต่าง ๆ มาคั่วในระดับนี้ เพื่อที่จะดึงเอกลักษณ์ และรักษา รสชาติ และ กลิ่น ของเมล็ดให้ได้มากที่สุด เมล็ดกาแฟคั่วอ่อน จึงมักมาในรูปแบบของกาแฟ Specialty Coffee และ Single Origin เป็นต้น
- Medium : กาแฟคั่วกลาง จะมีรสชาติของกาแฟมากขึ้น จะมีความเปรี้ยว และในส่วนที่เป็นผลไม้จะลดลง แต่จะเพิ่มเติมด้วยรสชาติหวาน และบอดี้ที่หนาแน่นขึ้น และจะออกขมเล็กน้อย เพื่อเป็นการเพิ่มมิติรสชาติของกาแฟที่มากขึ้น มีกลิ่นออกโทนช็อกโกแลต หรือ โกโก้ ที่สมดุลกับรสชาติเปรี้ยวแบบผลไม้นั้นเอง
- Medium – Dark Roast : กาแฟคั่วกลางค่อนข้างเข้ม ซึ่งกาแฟคั่วในระดับนี้จะตอบโจทย์ผู้คนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟแบบเข้ม ๆ แต่ไม่ถึงขั้นขมมาก เพราะการคั่วแบบกลางจะค่อนข้างเข้ม อยู่กึ่งกลางระหว่าง คั่วกลาง และ คั่วเข้ม ซึ่งจะเป็นการผสมผสานรสชาติที่กลมกล่อม นุ่มในแบบ เข้ม Milk Chocolate และ Milk Chocolate เบา ๆ
- Dark Roast : เป็นกาแฟคั่วเข้ม จะมีรสชาติ หนักแน่นแบบชัดเจน ซึ่ง Dark Chocolate หวานนุ่ม จะเหมาะกับการทำกาแฟเย็น ใส่ความหวานเพิ่มเติม และ ใส่นม แต่จะมีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ชอบกาแฟแบบเข้ม ๆ นั้นก็คือ เมล็ดกาแฟที่ใช้ ต้องไม่ขมไหม้ เพราเมล็ดกาแฟที่ขมไหม้นั้น จะถูกคั่วด้วยอุณหภูมิมากกว่า 240 C ซึ่งก่อให้เกิด PAHs การเกิดสารมะเร็งได้ และจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
ทั้งหมดนี้ก็จะเป็น 5 ข้อหลัก ๆ สำคัญสำหรับนักธุรกิจที่ต้องการเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง หากอ่านจบแล้วลองนำวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ ไปปรับไปใช้ดูนะคะ