หลักการเลือกซื้อเมล็ดกาฟ นั้นมีรายละเอียดอะไรบ้าง และต้องเลือกซื้ออย่างไร เราอยากให้ทุกคนที่ชื่นชอบในการดื่มกาแฟ หรือ เป็นเจ้าของร้านกาแฟเราอยากให้ทุกคนได้เมล็ดกาแฟที่ตรงความต้องการของคุณแบบมากที่สุด ซึ่งจะมี 3 เคล็ดลับในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟจะมีดังต่อไปนี้
1.การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องดูชนิดของเมล็ดกาแฟให้เป็น
ซึ่งข้อนี้คุณจะต้องทราบชนิดของเมล็ดกาแฟนั้น ว่ามีรสชาติของกาแฟสด เป็นหัวข้อแรกเลยนะคะ ซึ่งรสชาติของกาแฟสดนั่นจะมาจากชนิดของเมล็ดกาแฟ โดยที่ทางอุตสาหกรรมทางการผลิตกาแฟนั้น จะมีการใช้เมล็ดกาแฟอยู่ 2 ชนิด นั้นก็คือ โรบัสต้า และ อาราบิก้า ซึ่งกาแฟ 2 สายพันธุ์นี้จะถูกปลูกเพื่อการทำการค้าพาณิชย์งั้นเราไปดูความแตกต่างของทั้งสองตัวกันดีกว่าค่ะ
- ผลิตภัณฑ์ที่ 1 เป็นกาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ซึ่งเมล็ดกาแฟอาราบิก้านี้จะเป็นรูปทรางแบบวงรี เส้นตรงกลางจะคด และรสชาติของกาแฟที่ทำมาจากเมล็ด “กาแฟอาราบิก้า” นั้นจะมีรสชาติที่หวาน กลมกล่อมกว่า และ รสชาติที่ซับซ้อนกว่า ดังนั้น ตัวเมล็ดจะมีกรดและมีน้ำตาลมากกว่า เพราะเป็นเมล็ดกาแฟที่ถูกนำมาใช้ในการบริโภคทั่วโลกเฉลี่ยแล้วประมาณ 60% ถ้าหากคุณต้องการ กาแฟสด ที่มีรสชาตกลมกล่อม แบบหวานละมุน ออกรสชาติเปรี้ยวนิด ๆ คุณจะต้องเลือกเมล็ดกาแฟอาราบิก้า เท่านั้นค่ะ
- ผลิตภัณฑ์ที่ 2 เป็นเมล็ดกาแฟโรบัสต้าแท้ 100% ซึ่งตัวเมล็ดกาแฟนั้นจะเป็นรูปทรงกลม ได้สัดส่วนมากกว่า และ เส้นตรงกลางจะไม่ตรงไม่คดจนเกินไป และ รสชาติของกาแฟนั้นก็ทำมาจากเมล็ดกาแฟ “โรบัสต้า” ซึ่งจะมีความเข้มข้นมากกว่าและมีรสชาตที่สัมผัสแบบหนักกว่า เพราะจะมีคาเฟอีนที่มากกว่านั่นเองค่ะ ซึ่งเมล็ดกาแฟ โรบัสต้านี้จะเหมาะกับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟแบบเข้มข้น และเนื่องจากเมล็ดกาแฟโรบัสต้ามีปริมาณการผลิตที่มากกว่า เมล็ดกาแฟอาราบิก้า จึงทำให้ราคาของเมล็ดกาแฟ โรบัสต้านั้นถูกว่านั่นเองค่ะ
ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 แบบ ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดอาราบิก้า หรือ โรบัสต้าหากผสมกัน เพราะบางผลิตภัณฑ์จะทำมาจากเมล็ดกาแฟทั้งสองชนิดผสมกัน ซึ่งเวลาการเปิดถึงกาแฟออกมานั้นคุณจะพบได้เลยค่ะว่าเมล็ดกาแฟแบบสองขนาดจะมีการคละ ๆ กันไปเพราะผสมกันนั้นเองค่ะ และนี่จึงทำให้ได้กาแฟที่รวมจุดเด่นของทั้งสองชนิดออกมา ได้รสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อม หวาน หอม เปรี้ยว ผสมกันไป เราขอไม่แนะนำสำหรับผู้ที่เป็นมือใหม่ในการชงกาแฟ หรือ ดื่มกาแฟ คุณต้องทดลองแบบเมล็ดกาแฟเดียวก่อน เพื่อให้คุณได้รับรู้ถึงรสชาติอย่างแท้จริงของอาราบิก้า กับ โรบัสต้า หลังจากนั้นคุณค่อยมาลองแบบผสมกัน
2.เลือกระดับการเมล็ดกาแฟคั่ว
หากเลือกเมล็ดกาแฟได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคุณต้องมาเลือกระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟกันต่อค่ะ และทำไมถึงต้องมานั่งเลือกระดับการคั่ว ? หลายคนอาจจะสงสัย การเลือกระดับการคั่วนั้น เพราะการคั่วที่ระดับแตกต่างกัน จะมีผลกระทบให้ตัวเมล็ดกาแฟนั้น มีสีสันและความหอมที่แตกต่างกันออกไป และเวลาในการชงกาแฟแล้ว คุณจะได้กาแฟสด รสชาติที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าคุณจะใช้เมล็ดกาแฟชนิดเดียวกันก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น ความเปรี้ยว ความขม หรือ ความหวาน ตามระดับความคั่วแล้ว อีกทั้งระดับการคั่วนั้นจะไม่มีชื่อเรียกแบบเจาะจง ซึ่งเราจะเรียกันตามระดับสีของเมล็ดกาแฟ เพราะหลังจากการคั่วเมล็ดเสร็จแล้วกันมากกว่า ไปติดตามรายละเอียดกันต่อเลยค่ะ
- การคั่วแบบอ่อน : จะเป็นระดับการคั่วที่อ่อนที่สุด เพราะใช้เวลาในการคั่วที่ไม่นาน หากคั่วเมล็ดกาแฟสดที่ระดับนี้แล้ว ก็จะได้เมล็ดกาแฟเป็นสีน้ำตาลอ่อน ที่ไม่มีน้ำมันเกาะตามผิวของเมล็ด เพราะเป็นการคั่วที่รักษาระดับคาเฟอีนในเมล็ดกาแฟนั่นเองค่ะ ซึ่งจะมีรสชาติ เปรี้ยว และ ฝาดแอบแฝงสูงพอสมควร ซึ่งจะเหมาะกับการดื่มในช่วงเวลาเข้าๆ ที่ต้องการคาเฟอีนมาก บางครั้งอาจจะถูกเรียกว่า เป็นการคั่วแบบ Cinnamon , Half City และ Light City
- การคั่วปานกลาง : เป็นระดับการคั่วยอดนิยมของผู้คนส่วนมาก ถ้าหากจะไม่รู้จะเลือกระดับการคั่วแบบไหน เราขอแนะนำการเลือกแบบนี้นะคะ เพราะการคั่วในระดับปานกลาง คั่วจนได้เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลเข้มปานกลาง และสีผิวของเมล็ดนั้นจะไม่เยิ้ม ซึ่งเป็นการคั่วที่ให้รสชาติของกาแฟที่ออกรสชาติเปรี้ยว และ ขมเล็กน้อย ซึ่งจะมีชื่อที่เรียกกันในแบบอื่น ๆ นั่นก็คือ Breakfast Roast , American Roast, Regular Roast และ City Roast
- คั่วเข้มปานกลาง : เป็นระดับที่ตัวเมล็ดนั้นจะมีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ และตัวเมล็ดนั้นจะเริ่มมีน้ำมันเกาะที่ผิวเมล็ดเล็กน้อย และจะมีรสชาติหวานเล็กน้อย ขม และ มีเนื้อที่สัมผัสได้ของกาแฟเพิ่มมากกว่าแบบ อ่อน หรือ ปานกลาง ชื่ออื่น ๆ ที่คนทั่วไปมักนิยมเรียกกันนั่นก็คือ Vienna Roast , Full-City Roast และ After Dinner Roast เป็นต้น
- คั่วเข้ม : เป็นการตคั่วในระดับสูงสุด ใช้เวลาในการคั่วนาน และ ใช้ไฟแรง จนคาเฟอีนในเมล็ดกาแฟหายไปเกือบหมด ตัวเมล็ดจะมีสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ จะมีรูปแบบคล้าย ๆ กับสีช็อคโกแลต จะมีน้ำมันเคลือบผิว จึงทำให้ผัวดูสวย และ เงางาม กลายเป็นสีที่เห็นได้บ่อยในการถ่ายโฆษณากาแฟ รสชาติในระดับการคั่วเข้มจะค่อนข้างขม จนไปถึงขมมาก และมีกลิ่นหอมที่ออกไหม้นิด ๆ ซึ่งจะเหมาะกับนักดื่มคอกาแฟที่ชื่นชอบรสชาติที่เข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่หนัก และเป็นระดับการคั่วที่เหมาะกับการทำกาแฟเอสเปรสโซ่ ซึ่งการคั่วระดับนี้จะมีชื่อเรียกในแบบอื่น ๆ เลยนั่นก็คือ New Orleans Roast , Continental Roast , French Roast, Italian Roast , Spanish Roast และ Espresso Roast, เป็นต้น
3.การเลือกระดับการบดของกาแฟ
เมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของเมล็ดกาแฟแต่ละชนิด และ การเลือกระดับของการคั่วได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ต้องมาเลือกระดับการบดของเมล็ดกาแฟกันนะคะ แต่ขอบอกก่อนเลยนะคะว่า เมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วและที่ซื้อมา ยังเอาไปใช้ชงกาแฟไม่ได้นะคะ เพราะต้องทำการบดก่อน ซึ่งการบดก็มีหลายระดับเช่นกัน ยกตัวอย่าง การบดแบบหยาบ บดแบบละเอียดมาก และ บดแบบละเอียด เป็นต้น และความละเอียดที่แตกต่างกันนั้นจะส่งผลต่อรสชาติกาแฟ และเหมาะกับการชงกาแฟในแต่ละประเภท ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีดังต่อไปนี้
ระดับการบดเมล็ดกาแฟ กับ ความเหมาะกับการชงกาแฟแต่ละประเภท
- บดแบบหยาบมาก : เหมาะกับการชงกาแฟประเภท Cold Brew
- บดแบบหยาบ : เหมาะกับการชงกาแฟประเภท French Press
- บดแบบหยาบ จนไปถึงปานกลาง : เหมาะกับการชงกาแฟประเภท Drip Coffee
- บดแบบปานกลาง : เหมาะกับการชงกาแฟประเภท Pour-Over Coffee (กระดาษกรอกแบบกรวย)
- บดแบบละเอียด : เหมาะกับการชงกาแฟประเภท Espresso
และเราต้องรู้กันก่อนนะคะว่า ตัวผงที่บดได้มานั้น จะไม่มีทางละลายในน้ำร้อนเหมือนผงกาแฟสำเร็จรูป เพราะถึงแม้ว่าคุณจะบดเมล็ดกาแฟให้ได้ในระดับเอียดมากที่สุดแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้น จะต้องมีเครื่องช่วยชงกาแฟ หรือ กระดาษกรองร่วมด้วย รวมไปถึงกระดาษดริป เพื่อมาช่วยในการชงกาแฟ และต้องทำการบดเมล็ดกาแฟเป็นครั้ง ๆ ไป ต่อการชงกาแฟ และไม่ควรบดหมดทีเดียวทั้งถุงเพราะการเก็บในรูปแบบเมล็ดกาแฟนั้นจะสามารถรักษาความสด รักษารสชาติ และ กลิ่นได้ดีกว่านานกว่า
แต่ถ้าหากที่บ้านคุณไม่มีเครื่องบดเมล็ดกาแฟ หรือ ไม่อยากจะมานั่งบดเอง เพราะโดยปกติแล้วการสั่งซื้อกาแฟออนไลน์ บริษัทส่วนใหญ่จะรับทำการบดมาให้อยู่แล้ว สามารถสั่งความละเอียดได้ ซึ่งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ซื้อด้วยนั่นเอง ถ้าหากว่าไม่รู้จะสั่งความละเอียดแบบใด ควรสั่งที่ความละเอียดระดับปานกลาง เพราะจะเป็นความละเอียดที่เหมาะกับการชงแบบ Pour-over Coffee หรือ Drip Coffee มากที่สุด สุดท้ายนี้ถ้าหากกาแฟที่ชงออกมานั้นแล้วได้รสชาติอ่อนหรือรสชาติเปรี้ยวเกินไป ให้ลองบดกาแฟให้ละเอียดเพิ่มมากกว่าเดิมแต่ถ้ากาแฟมีรสชาติที่เข้มข้นมากจนเกินไป ให้ทำการบดกาแฟให้หยาบมากกว่าเดิมค่ะ
การเก็บรักษา “เมล็ดกาแฟ” ให้มีประสิทธิภาพ
เมล็ดกาแฟที่ซื้อมาแล้วนั้น เมื่อทำการชงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรเก็บรักษาไว้ในถุงให้มิดชิด ควรพับถุงแบบหลาย ๆ ทบ แล้วใช้ตัวคีบหนีบไว้ พยามไล่อากาศออกให้หมด ถ้าหากเป็นถุงซิปก็จะล็อคง่าย หากเป็นถุงสูญากาศได้จะยิ่งดีมาก พอเสร็จแล้วควรนำถุงไปเก็บไว้ในที่แห้ง มืด และ เย็น เพื่อให้ตัวถุงของเมล็ดกาแฟหลีกเลี่ยงจากแสงแดด และความร้อนให้ได้มากที่สุด ควรเก็บไว้ในตู้เก็บอาหาร หรือ ตู้เก็บของเหนือศีรษะ และห้ามเก็บเมล็ดกาแฟไว้ในตู้เย็น หรือ ช่องแช่แข็งเด็ดขาด เพราะความชื้นจะทำให้เมล็ดกาแฟเสียรสชาติและกลิ่น และ ตัวเมล็ดกาแฟนั้นอาจจะดูดกลิ่นอาหารอื่น ๆ ในตู้เย็นคุณได้ ซึ่งการเก็บรักษาที่ดีนั้นจะช่วยให้คุณยืดอายุของความสดของเมล็ดกาแฟได้นานถึง 1 – 2 อาทิตย์ แต่ทางที่ดีที่สุดนั้นก็คือ การซื้อเมล็ดกาแฟในปริมาณที่คุณนั้นสามารถกินหมดภายใน 1 สัปดาห์